คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Internet Technology

อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดย
ใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง 
อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายคือ

1. การสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบ

ปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
2.  อินเทอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกันห่างกันคนละทวีป

 ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึงกันได้

3. อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพ
ประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบจัดการฐานข้อมูล 03/12/2010

ระบบจัดการฐานข้อมูล    03/12/2010
Entity – Relationship Model หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆว่า E-R Model ถูกคิดค้นโดย Chen(1976)  ถือว่าเป็นแบบจำลองที่ใช้ในการแสดงการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด(High – level Conceptual Data Model)  ซึ่งเป็นอิสระจากระบบจัดการฐานข้อมูล(Database Management System : DBMS)  โดย E-R Model จะแสดงเค้าร่างฐานข้อมูล (Conceptual Database Schema) ที่ประกอบด้วย เอนติตี้(Entity) , แอททริบิวต์(Attribute) และความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์(Relationship)  ผลการออกแบบโดยใช้ E-R Model สามารถแสดงได้ด้วยการเขียนแผนภาพที่เรียกว่า Entity Relationship  Diagram(ERD)  ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้อธิบายองค์ประกอบและข้อกำหนดของฐานข้อมูล ที่นักวิเคราะห์และออกแบบระบบใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างผู้ใช้และนักพัฒนาโปรแกรม  เนื่องจากมีสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายให้เข้าใจได้ง่าย

          หลังจากออกแบบฐานข้อมูลและเขียนแผนภาพ ERD ที่ถูกต้องเหมาะสมกับระบบงานแล้ว  และเลือกระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ที่จะนำมาใช้งานได้แล้ว  ก็จะทำการแปลง(Mapping Data Model)แผนภาพ ERD  ให้เป็นเค้าร่างฐานข้อมูลให้สอดคล้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่เลือกใช้  เช่น  สมมุติว่าเลือกระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์(Relational Database Management System : RDBMS) ซึ่งได้แก่ Oracle หรือ Microsoft SQL Server เป็นต้น  ก็จะนำ E- R Diagram มาเทียบแปลงเป็นเค้าร่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์( Relational Schema) ที่เหมาะสม



องค์ประกอบของ  E – R Model
          E – R Model  เป็นการออกแบบในระดับแนวคิด(Conceptual Design)  ในลักษณะจากบนลงล่าง(Top-Down Strategy) โดยผลจากการออกแบบฐานข้อมูล  จะได้เค้าร่างในระดับแนวคิดที่ประกอบด้วย
  • เอนติตี้ที่ควรจะมีในระบบ(Entity)
  • ความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ว่าเป็นอย่างไร(Relationship)
  • แอททริบิวต์ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อธิบายเอนติตี้ และมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง(Attribute)
เอนติตี้(Entity)
          เอนติตี้(Entity หรือ Entity type) หมายถึง  กลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ที่เราสนใจจะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล  ซึ่งอาจจะเป็น บุคคล  สถานที่  การกระทำ  หรือ กิจกรรมต่าง ๆ ตัวอย่างของเอนติตี้ ได้แก่
  • เอนติตี้ที่เป็น บุคคล เช่น พนักงาน , นักศึกษา , อาจารย์  , แพทย์ , พยาบาล , ผู้ป่วย , นักบิน , พนักงานขับรถ   เป็นต้น
  • เอนติตี้ที่เป็น สถานที่ เช่น ประเทศ , จังหวัด , อำเภอ , น้ำตก , ภูเขา , โรงแรม , ห้องพัก , ห้องเช่า , ห้องเรียน   เป็นต้น
  • เอนติตี้ที่เป็น วัตถุ , สิ่งของ , อุปกรณ์ เช่น  รถ , สินค้า , หนังสือ , อะไหล่ , วัตถุดิบ , อาหาร , เครื่องใช้   เป็นต้น
  • เอนติตี้ที่เป็น นามธรรม  เช่น  วัน , วิชา , ความสามารถพิเศษ , คำทำนาย , คำพยากรณ์  เป็นต้น
Entity instance หรือ Entity occurrence หมายถึง  กรณีตัวอย่างที่แตกต่างกันของเอนติตี้ เช่น นักศึกษา 1 คน , รถยนต์ 1 คัน , การเจ็บป่วย 1 ครั้ง , หนังสือ 1 เล่ม , ภาพยนตร์ 1 เรื่อง , เหตุการณ์ 1 เหตุการณ์  ดังนั้น เอนติตี้(Entity type) “นักศึกษา” มีนักศึกษา  100 คน ก็หมายถึง  มี Entity instance 100 ข้อมูลที่แตกต่างกันคนละคน เป็นต้น
เอนติตี้แบบปกติ(Regular Entity หรือ Strong Entity) คือ เอนติตี้ที่เราสามารถกำหนดให้มีในระบบได้อย่างอิสระ ไม่ขึ้นกับข้อมูลของเอนติตี้อื่น  สามารถกำหนดแอททริบิวต์หรือฟิลด์ที่อยู่ในเอนติตี้ให้เป็นคีย์หลัก(Primary Key)   เพื่อจำแนกข้อมูลแต่ละรายการได้   สัญลักษณ์ที่แทนเอนติตี้แบบปกติ ใน ERD คือสี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนแต่ละเอนติตี้ ภายในบรรจุชื่อของเอนติตี้นั้น ๆ


รูปที่ 6.1 สัญลักษณ์และตัวอย่างของเอนติตี้แบบปกติ
แอททริบิวต์(Attribute)
          แอททริบิวต์(Attribute)  หมายถึง ลักษณะหรือคุณสมบัติที่นำมาอธิบายเอนติตี้ และ ความสัมพันธ์  ตัวอย่างของแอททริบิวต์ของเอนติตี้  เช่น
แอททริบิวต์ของเอนติตี้ “นักศึกษา” ได้แก่  รหัสนักศึกษา , คำนำหน้าชื่อ , ชื่อ , นามสกุล , วันเกิด , โปรแกรมวิชาที่สังกัด , เกรดเฉลี่ยสะสม 
แอททริบิวต์ของเอนติตี้ “ผู้ป่วย”  ได้แก่ รหัสผู้ป่วย , ชื่อ , นามสกุล , สถานภาพ , วันที่เข้ารักษาครั้งแรก , ที่อยู่ , โทรศัพท์
แอททริบิวต์ของเอนติตี้ “สินค้า” ได้แก่ รหัสสินค้า , ชื่อสินค้า , ราคา/หน่วย , จำนวนคงเหลือ
แอททริบิวต์ของเอนติตี้  “วิชาเรียน”  ได้แก่  รหัสวิชา , ชื่อวิชา , จำนวนหน่วยกิต
ประเภทของแอททริบิวต์แบ่งออกได้ดังนี้
  • Simple Attribute หรือ Atomic Attribute  หมายถึง  แอททริบิวต์ที่ไม่สามารถแยกข้อมูลออกเป็นข้อมูลย่อย ๆ ได้อีก ตัวอย่างเช่น “รหัสนักศึกษา” , “เงินเดือน”  ไม่สามารถแยกออกเป็นข้อมูลอื่น ได้อีก สัญลักษณ์ที่ใช้คือ วงรีเส้นขอบเส้นเดี่ยว มีชื่อแอททริบิวต์บรรจุอยู่ภายใน ดังรูปที่ 6.2

 
รูปที่ 6.2  สัญลักษณ์และตัวอย่างของแอททริบิวต์แบบ Simple attribute
  • Composite Attribute  หมายถึง  หมายถึง แอททริบิวต์ที่สามารถแบ่งออกเป็นแอททริบิวต์ย่อย ๆ ได้อีก เช่น   แอททริบิวต์ “ที่อยู่”  สามารถแบ่งออกเป็นแอททริบิวต์ย่อยได้เป็น บ้านเลขที่ , ถนน , ตำบล , อำเภอ , จังหวัด เป็นต้น  สัญลักษณ์ที่ใช้แสดง Composite Attribute คือวงรีเส้นขอบเส้นเดี่ยว แต่มีวงรีย่อยมาเชื่อมต่อด้วย ดังรูปที่ 6.3
 
รูปที่ 6.3  สัญลักษณ์และตัวอย่างของแอททริบิวต์แบบ Composite attribute
  • Single-valued Attribute  หมายถึง  แอททริบิวต์ที่ค่าของข้อมูลได้เพียงค่าเดียวในแต่ละแอททริบิวต์  เช่น แอททริบิวต์ “รหัสนักศึกษา” ของนักศึกษาแต่ละคนก็จะมีรหัสนักศึกษาเพียงรหัสเดียว  สัญลักษณ์ที่ใช้คือ วงรีเส้นขอบเส้นเดี่ยว มีชื่อแอททริบิวต์บรรจุอยู่ภายในเช่นเดียวกันกับ Atomic หรือ Simple attribute (รูปที่ 6.2) สำหรับแอททริบิวต์ที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็นคีย์หลัก(primary key) ของเอนติตี้ก็จะขีดเส้นทึบใต้ชื่อของแอททริบิวต์ เพื่อแสดงให้รู้ว่าเป็นคีย์หลัก

  • Multivalued Attribute  หมายถึง  แอททริบิวต์เดียวที่กำหนดให้สามารถมีค่าได้มากกว่า 1 ค่า เช่น ในเอนติตี้ “พนักงาน” ประกอบด้วย แอททริบิวต์ รหัสพนักงาน , ชื่อ-นามสกุล , เงินเดือน , ความสามารถพิเศษ  เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า พนักงาน 1 คน ก็จะมีรหัสพนักงาน 1 ค่า , ชื่อและนามสกุล 1 ค่า , เงินเดือนมี 1 ค่า แต่อาจจะมีค่าข้อมูลความสามารถพิเศษมากกว่า 1 อย่าง หรือ มีแค่ความสามารถพิเศษเดียว หรือ ไม่มีความสามารถพิเศษเลยก็ได้ ดังนั้น แอททริบิวต์ “ความสามารถพิเศษ” จึงถือว่าเป็น Multivalued Attribute เพราะสามารถมีค่าข้อมูลได้มากกว่า 1 ค่าข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้แสดง Multivalued Attribute คือวงรีที่มีเส้นขอบเป็นเส้นคู่ บรรจุชื่อ แอททริ บิวต์ภายใน ดังรูปที่ 6.4
รูปที่ 6.4  สัญลักษณ์และตัวอย่างของแอททริบิวต์แบบ Multivalued attribute
    • Derived Attribute  หมายถึง แอททริบิวต์ที่มีค่าของแอททริบิวต์ประกอบมาจากค่าของแอททริบิวต์อื่นหรือจากเอนติตี้  เช่น แอททริบิวต์ “อายุ” เกิดจาก การนำเอาค่าจากแอททริบิวต์ “วันเกิด” มาลบกับวันเดือนปีปัจจุบัน ก็จะได้ค่าอายุ  สัญลักษณ์ที่แสดง Derived Attribute เป็นวงรีที่มีเส้นขอบเป็นเส้นประ มีชื่อแอททริบิวต์บรรจุภายใน ดังรูปที่ 6.5
     
    รูปที่ 6.5  สัญลักษณ์และตัวอย่างของแอททริบิวต์แบบ Derived attribute
     
    รูปที่ 6.6 ตัวอย่างการแสดงเอนติตี้ “พนักงาน” และแอททริบิวต์ของเอนติตี้
    ความสัมพันธ์(Relationship)
              ความสัมพันธ์(Relationship) หมายถึง  ความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ต่าง ๆ   ตัวอย่างเช่น   เราสามารถกำหนดความสัมพันธ์ให้กับอาจารย์ “พนารัตน์” กับนักศึกษา “วนิดา” ให้มีความสัมพันธ์กันโดยอาจารย์ “พนารัตน์” เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษา “วนิดา” กลุ่มความสัมพันธ์(Relationship set)  คือ กลุ่มของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของเอนติตี้(Entity type) พิจารณาตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาที่มีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ดังรูปที่ 6.7
    รูปที่ 6.7  กลุ่มความสัมพันธ์ “เป็นที่ปรึกษา”
    สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ใน ERD คือ สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีชื่อที่แสดงความสัมพันธ์อยู่ภายใน ดังรูปที่ 6.8
     
    รูปที่ 6.8 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้
    เอนติตี้อ่อนแอ(Weak Entity)
              เอนติตี้อ่อนแอ หมายถึง เอนติตี้ที่ไม่สามารถมีแอททริบิวต์ที่นำมากำหนดเป็นคีย์หลัก(Primary key)ของตัวเองได้  ซึ่งแตกต่างจากเอนติตี้ปกติ(Regular Entity) ที่สามารถกำหนดคีย์หลักของเอนติตี้ตัวเองได้ เอนติตี้แบบอ่อนนี้จะคงอยู่หรือมีตัวตนได้ต้องอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูลบางส่วนจากเอนติตี้อื่น กล่าวได้ว่า  เอนติตี้อ่อนแอมี “การขึ้นต่อกันเชิงปรากฏ(Existence dependency)”กับเอนติตี้ที่เป็นเจ้าของ(Owner Entity)     ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า “ความสัมพันธ์เชิงระบุ(Identifying relationship)”  หมายถึง สมาชิกของเอนติตี้เจ้าของ 1 รายการ สามารถระบุสมาชิกของเอนติตี้อ่อนแอ 1 รายการหรือหลายรายการได้    การกำหนดคีย์หลักของเอนติตี้อ่อนแอ ต้องอาศัยข้อมูลจากแอททริบิวต์ของเอนติตี้ที่สัมพันธ์กัน(Owner Entity)มาประกอบแอททริบิวต์ของเอนติตี้อ่อนแอเป็นคีย์หลัก พิจารณาความสัมพันธ์ “มีผลการทดสอบ” ระหว่าง “นักศึกษา” และ “ผลการทดสอบ” ดังรูปที่ 6.9  จะสังเกตว่า ข้อมูล ”ครั้งที่” ของ”ผลการทดสอบ” จะมีข้อมูลที่ซ้ำกันบางรายการทำให้ไม่สามารถกำหนดคีย์หลักของเอนติตี้ได้ มีลักษณะเป็น เอนติตี้อ่อนแอ    แต่ถ้านำข้อมูลของ “นักศึกษา” มาพิจารณาประกอบจะพบว่า ”ครั้งที่” ของการสอบแต่ละรายการก็จะสามารถระบุได้ว่าเป็นผลการสอบของนักศึกษาคนใด   เรียก “ครั้งที่” ว่าเป็นตัวแยก(Discriminator)  ซึ่งจะนำแอททริบิวต์ที่เป็นตัวแยกนี้มาประกอบกับแอททริบิวต์ของเอนติตี้เจ้าของเป็นตัวระบุรายการข้อมูลที่แตกต่างกันแต่ละรายการ  สามารถเรียกตัวแยกนี้ว่าเป็น ส่วนประกอบของคีย์(Partial key) สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงเอนติตี้อ่อนแอใน ERD คือ สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเส้นขอบเป็นเส้นทึบคู่ มีชื่อเอนติตี้อยู่ภายใน ดังรูปที่ 6.10  แอททริบิวต์ที่เป็นส่วนประกอบของคีย์(Partial key) จะขีดเส้นประใต้ชื่อแอททริบิวต์
    รูปที่ 6.9  กลุ่มความสัมพันธ์ “มีผลการทดสอบ”
    รูปที่ 6.10 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้อ่อนแอและเอนติตี้ปกติ

    ข้อกำหนด(Constraints)

      ดีกรีของความสัมพันธ์(Degree of  Relationship)
    ดีกรีของความสัมพันธ์  หมายถึง  จำนวนของเอนติตี้ที่มาสัมพันธ์กันในความสัมพันธ์หนึ่งๆ  ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
    • ความสัมพันธ์กับเอนติตี้ตนเอง(Unary Relationship หรือ Recursive Relationship)
    เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ภายในเอนติตี้เดียวกัน  เช่น ความสัมพันธ์ชื่อ “บังคับเรียนก่อน” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง เอนติตี้ “วิชาเรียน”  กับเอนติตี้ “วิชาเรียน” ด้วยกันเอง  กล่าวคือ  วิชาเรียนบางวิชาบังคับให้ต้องเรียนบางวิชาก่อนจึงจะสามารถเรียนวิชาดังกล่าวได้แสดงได้ดังรูปที่ 6.11
     
    รูปที่ 6.11 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้แบบ Unary Relationship
    • ความสัมพันธ์ระหว่างสองเอนติตี้(Binary Relationship)
    เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ 2 เอนติตี้  เช่น 
      • ความสัมพันธ์ที่ชื่อ “สอน” ระหว่างเอนติตี้ “นักศึกษา” กับเอนติตี้ “อาจารย์”
      • ความสัมพันธ์ที่ชื่อ “ลงทะเบียน” ระหว่างเอนติตี้ “นักศึกษา” กับเอนติตี้ “วิชาเรียน”
      • ความสัมพันธ์ที่ชื่อ “สั่งซื้อ” ระหว่างเอนติตี้ “ลูกค้า” กับเอนติตี้ “สินค้า”
    แสดงสัญลักษณ์ใน ERD ดังรูปที่  6.12
     
    รูปที่ 6.12 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้แบบ Binary Relationship
    • ความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้มากกว่าสองเอนติตี้(N-ary Relationship)
    เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ตั้งแต่ 3 เอนติตี้ขึ้นไป โดย N  หมายถึง  จำนวนเอนติตี้ที่มาสัมพันธ์กับความสัมพันธ์หนึ่ง  ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเอนติตี้มีความสัมพันธ์กันในความสัมพันธ์หนึ่งใด 3 เอนติตี้ จะเรียกว่า Ternary Relationship  , ถ้ามี 4 เอนติตี้มาสัมพันธ์กัน เรียกว่า Quaternary Relationship ตัวอย่าง N – ary Relationship ดังรูปที่ 6.13
     
    รูปที่ 6.13 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้แบบ N-ary Relationship
    • สัดส่วนจำนวนข้อมูลระหว่างเอนติตี้ที่สัมพันธ์กัน(Cardinality Ratio)
    สัดส่วนจำนวนข้อมูลระหว่างเอนติตี้ที่มาสัมพันธ์กันในความสัมพันธ์ใดความสัมพันธ์หนึ่ง  สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
    • ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง(One-to-One Relationship หรือ 1 : 1)
    เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของจำนวนข้อมูลของเอนติตี้ A ว่า ข้อมูล 1 รายการ มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเอนติตี้ B ได้ไม่เกิน 1 รายการ  ตัวอย่างเช่น  มีเอนติตี้ 2 เอนติตี้ คือ “อาจารย์” และ “คณะวิชา” สัมพันธ์กันด้วยความสัมพันธ์ชื่อ “บริหาร” แบบ 1 : 1 หมายถึง อาจารย์ 1 คน จะสามารถเป็นคณบดีได้ 1 แผนก และในขณะเดียวกัน คณะวิชาแต่ละคณะ ก็มีอาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นคณบดีได้เพียง 1 คนเท่านั้น  สามารถแสดงความสัมพันธ์ ได้ดังรูปที่ 6.14
    รูปที่ 6.14 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้แบบ One-to-One Relationship
    • ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม(One-to-Many Relationship หรือ 1 : N)
    เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของจำนวนข้อมูลของเอนติตี้ A ว่า ข้อมูล 1 รายการ มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเอนติตี้ B ได้มากกว่า 1 รายการ ตัวอย่างเช่น  มีเอนติตี้ 2 เอนติตี้ คือ “อาจารย์” และ “นักศึกษา” สัมพันธ์กันด้วยความสัมพันธ์ชื่อ “เป็นที่ปรึกษา” แบบ 1 : N หมายถึง  อาจารย์ 1 คน จะสามารถมีนักศึกษาที่ปรึกษาได้มากกว่า 1 คน และในขณะเดียวกัน นักศึกษาแต่ละคนต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนใดคนหนึ่งเท่านั้น  สามารถแสดงความสัมพันธ์ ได้ดังรูป ที่ 6.15
    รูปที่ 6.15 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้แบบ One-to-Many Relationship

HOUSE KEEPER 2009

ICT HOUSE KEEPER 2009 โปรแกรมสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการป้องกันบุตรหลานท่านจากเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม

ICT House Keeper เป็นโปรแกรมป้องกันเว็บที่ไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน และสามารถปรับปรุงฐานข้อมูลรายชื่อเว็บที่ไม่เหมาะสมจากระบบแม่ข่ายได้โดยอัตโนมัติ และไม่รบกวนการทำงานของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ สามารถควบคุมระยะเวลาและช่วงเวลาการเล่นเกมของเยาวชน และให้ผู้ติดตั้งสามารถเปลี่ยนแปลงตารางเวลาและระยะเวลาได้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองได้

เข้าสู่ระบบ House Keeper
     เมื่อการติดตั้งระบบ House Keeper สมบูรณ์ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการติดตั้งจะมีการตั้งผู้ดูแลระบบเพียงคนเดียวเท่านั้น และเนื่องจากผู้ดูแลระบบเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์ในการเข้าสู่ระบบ HOUSE KEEPER เมื่อใดก็ตามที่ผู้ดูแลระบบจะเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ไขข้อมูลในระบบ เพื่อหยุดการทำงานของระบบ หรือ เพื่อยกเลิกการติดตั้งระบบ ระบบจะทำการตรวจสอบสิทธิ์ทุกครั้ง
     ขั้นตอน
1.   เปิดหน้าจอสำหรับเข้าสู่ระบบ House Keeper โดย
- กดปุ่มขวาของเมาส์ที่สัญลักษณ์ของระบบที่ System Tray ทางด้านล่างขวาของหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วเลือกเมนู
เข้าสู่ระบบ หรือ
- กด 2 ครั้ง (Double-Click) ที่สัญลักษณ์ของระบบที่ System Tray ทางด้านล่างขวาของหน้าจอคอมพิวเตอร์
2.   กรอกรหัสผ่านลงในช่องข้อความ รหัสผ่าน
3.กดปุ่ม ตกลง
     ลืมรหัสผ่าน
    ในกรณีที่คุณลืมรหัสผ่านคุณสามารถเข้าสู่ระบบด้วยการตอบคำถามกันลืมซึ่งระบบอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะกรณีที่คุณต้องการเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ไขข้อมูลในระบบ และกรณีที่เคยมีการตั้งคำถามและคำตอบกันลืมแล้วเท่านั้น
     ขั้นตอน
1.   กดปุ่ม ลืมรหัสผ่าน จากหน้าจอเข้าสู่ระบบ
2.   ตอบคำถามกันลืมที่เคยตั้งไว้ เพื่อเข้าสู่ระบบ ในช่องข้อความ คำตอบ
3.   กดปุ่ม ตกลง
4.   กรอกรหัสผ่านใหม่ และ ยืนยันรหัสผ่านใหม่ ลงในช่องข้อความ
5.   กดปุ่ม ตกลง
     ทิป / หมายเหตุ
-   การเข้าสู่ระบบด้วยคำถามกันลืมนี้ ระบบอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะกรณีที่คุณต้องการเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ไขข้อมูลในระบบ และกรณีที่คุณเคยตั้งคำถามและคำตอบกันลืมไว้แล้วเท่านั้น
-   คุณสามารถตั้งหรือเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันลืมได้ในขั้นตอนการเปลี่ยนรหัสผ่าน


ความสำคัญ
·         ป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ผู้ดูแลสามารถกำหนดเพิ่มได้เอง โดยสามารถกำหนด รูปแบบให้เหมาะสม สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์แต่ละคนได้
·         กำหนดเวลาใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน โดยสามารถระบุตารางเวลา แยกเป็นตารางเวลาใช้งานอินเทอร์เน็ต และตารางเวลาการใช้งานโปรแกรม
·         กำหนดให้สามารถบันทึกประวัติการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนเก็บไว้ได้ และยังสามารถกำหนดให้ส่งประวัติการใช้งานดังกล่าวไปยังอีเมล์ที่ระบุไว้ได้อีกด้วย
·         ป้องกันการเข้าไปแก้ไขข้อมูลที่ไม่ควรถูกเปิดเผย เช่น ประวัติการใช้งานข้อมูลเว็บไซต์หรือโปรแกรมที่ถูกจำกัดการใช้งาน รวมไปถึงป้องกันการถอดถอนโปรแกรม
·         กำหนดการใช้งานของโปรแกรมต่างๆ โดยสามารถที่จะระบุว่าผู้ใช้แต่ละคนสามารถใช้งานโปรแกรมได้หรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

VoIP

การสื่อสารทางเสียงผ่านเครือข่าย
เมื่ออินเทอร์เน็ตมีการใช้งานกว้างขวางขึ้น ความต้องการประยุกต์แบบใหม่ ๆ บนอินเทอร์เน็ตจึงได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อินเทอรืเน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ เช่น การใช้โทรศัพท์บนเครือข่าย การติดต่อด้วยเสียง ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การกระจายสัญญาณเสียงหรือภาพบนเครือข่าย และสิ่งหนึ่งที่มีการพัฒนาการ ประยุกต์จนสามารถใช้งานได้ดี คือระบบการสื่อสารด้วยเสียงผ่านเครือข่าย IPหลักการพื้นฐานของเครือข่ายไอพี
เครือข่ายไอพี (Internet Protocol) มีพัฒนามาจากรากฐานระบบการสื่อสารแบบแพ็กเก็ต โดยระบบมีการกำหนดแอดเดรส ที่เรียกว่า ไอพีแอดเดรส จากไอพีแอดเดรสหนึ่ง ถ้าต้องการส่งข่าวสารไปยังอีกไอพีแอดเดรสหนึ่ง ใช้หลักการบรรจุข้อมูลใส่ใน แพ็กเก็ต แล้วส่งไปในเครือข่าย ระบบการจัดส่งแพ็กเก็ตกระทำด้วยอุปกรณ์สื่อสารจำพวกเราเตอร์ มีหลักพื้นฐานการส่งแบบ ไปรษณีย์สมัยเก่า บางที่เราจึงเรียกการส่งแบบนี้ว่า ดาต้าแกรม
การสื่อสารแบบไอพีแพ็กเก็ต จะเป็นการส่งแพ็กเก็ตเข้าไปในเครือข่าย โดยไม่มีการประกันว่า แพ็กเก็ตนั้นจะถึงปลายทาง เมื่อไร ดังนั้นรูปแบบของเครือข่ายไอพีจึงไม่เหมาะสมกับการสื่อสารแบบต่อเนื่อง เช่น ส่งเสียง หรือวิดีโอ


เมื่อจะส่งสัญญาณเสียง
ครั้งเมื่อมีเครือข่ายไอพีกว้างขวางและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความต้องการส่งสัญญาณข้อมูลเสียงที่ได้คุณภาพก็เกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญ คือระบบประกันคุณภาพการสื่อสาร โดยจัดลำดับความสำคัญ หรือจองช่องสัญญาณไว้ให้ก่อน ระบบการสื่อสารในรูปแบบใหม่นี้ จะต้องกระทำโดยเราเตอร์
การส่งเสียงบนเครือข่ายไอพี หรือเรียกว่า VoIP-Voice Over IP เป็นระบบที่นำสัญญาณข้อมูลเสียงมาบรรจุลงเป็นแพ็กเก็ต ไอพี แล้วส่งไปโดยที่เราเตอร์มีวิธีการปรับตัวเพื่อรับสัญญาณแพ็กเก็ต และยังแก้ปัญหาบางอย่างให้ เช่น การบีบอัดสัญญาณเสียง ให้มีขนาดเล็กลง การแก้ปัญหาเมื่อมีบางแพ็กเก็ตสูญหาย หรือได้มาล่าช้า

ระบบ VoIP เป็นระบบที่นำสัญญาณเสียงที่ผ่านการดิจิไตซ์ โดยหนึ่งช่องเสียงเมื่อแปลงเป็นข้อมูลจะมีขนาด 64 กิโลบิตต่อ วินาที การนำข้อมูลเสียงขนาด 64 Kbps นี้ ต้องนำมาบีบอัด โดยทั่วไปจะเหลือประมาณ 10 Kbps ต่อช่องสัญญาณเสียงแล้วจึง บรรจุลงในไอพีแพ็กเก็ต เพื่อส่งผ่านทางเครือข่ายไอพี
การสื่อสารผ่านทางเครือข่ายไอพีต้องมีเราเตอร์ที่ทำหน้าที่พิเศษเพื่อประกันคุณภาพช่องสัญญาณไอพีนี้ เพื่อให้ข้อมูลไปถึง ปลายทางหรือกลับมาได้อย่างถูกต้อง และอาจมีการให้สิทธิพิเศษก่อนแพ็กเก็ตไอพีอื่น เพื่อการให้บริการที่ทำให้เสียงมีคุณภาพ
จากระบบดังกล่าวนี้เอง จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบเชื่อมโยงเครือข่ายโทรศัพท์ระหว่างองค์กร โดยองค์กรสามารถ ใช้ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์ผ่านทางเครือข่ายไอพี


ด้วยวิธีการสื่อสารแบบ VoIP จึงทำให้ระบบโทรศัพท์ที่เป็นตู้ชุมสายภายในขององค์กร สามารถเชื่อมถึงกันผ่านทางเครือข่าย ไอพี การสื่อสารแบบนี้ทำให้สามารถใช้โทรศัพท์ข้ามถึงกันได้ในลักษณะ PABX กับ PABX และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก 

Loso - Jeb Jai